6 เหตุผลที่ เอ็มบัปเป้ ควรย้ายมาร่วมทีม ลิเวอร์พูล

คีเลียน เอ็มบัปเป้ มีศักยภาพที่จะกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลหลังจากที่สร้างความประทับใจกับโมนาโก, เปแอสเช และทีมชาติฝรั่งเศส และการย้ายไปลิเวอร์พูลในช่วงซัมเมอร์นี้จะช่วยทำให้ความเป็นตัวตนของเขาชัดเจนและมีความสำเร็จมากขึ้น

คีเลียน เอ็มบัปเป้ สามารถลดช่องว่างระหว่างเขากับลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในอันดับของบัลลงดอร์ได้ โดยการย้ายไปทีมจ่าฝูงพรีเมียร์ ลีก อย่างลิเวอร์พูล เมื่อตลาดนักเตะเปิดขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งนี้แนวรุก 21 ปีประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ย้ายออกจากโมนาโกเมื่อปี 2017 ซัดไป 90 ประตู จาก 120 เกมในระดับสโมสร และคว้าแชมป์ลีก เอิงได้ 2 สมัยติดต่อกัน แม้ว่าเอ็มบัปเป้และเพื่อนร่วมทีมของเขามีแนวโน้มว่าจะคว้าแชมป์อีกสมัยเมื่อฟุตบอลกลับมาแข่งอีกรอบ แต่สปอตไลท์ในทีมไม่ได้พุ่งมาที่เขาคนเดียว เพราะต้องแชร์ความสนใจในทีมกับเนย์มาร์, เมาโร อิคาร์ดี้, เอดินสัน คาวานี่ ฯลฯ

และจากข่าวที่ออกมาตอนนี้ว่า เรอัล มาดริด กำลังตั้งเป้าตามล่าตัวซาดิโอ มาเน่ มาร่วมทีม ทำให้การได้ตัวดาวรุ่งจากเปแอสเชรายนี้มาร่วมถิ่นแอนฟิลด์จึงมีความน่าสนใจมากๆ และนี่คือเหตุผลสำคัญ 6 ประการว่าทำไมเอ็มบัปเป้ จึงควรย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูล

1. เป็นที่ต้องการในฐานะตัวแทนของซาดิโอ มาเน่

หากมาเน่ย้ายไปสเปนเพื่อหาความท้าทายใหม่ แน่นอนว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะต้องการตัวตายตัวแทนโดยตรงมาร่วมทีม โดยแนวรุกวัย 28 ซัดไป 46 ประตูในพรีเมียร์ ลีก ตลอด 2 ฤดูกาลครึ่งที่ผ่านมา ทำให้ชื่อของเขากลายเป็นหนึ่งในแนวรุกที่อันตรายที่สุดของทัพ ‘หงส์แดง’ อดีตแข้งเซาแธมป์ตัน ยังมีบทบาทสำคัญในการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งเป็นถ้วยที่เอ็มบัปเป้ยังไม่เคยสัมผัส ดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศสจะยังเป็นเป้าหมายของลิเวอร์พูลแม้มาเน่จะอยู่อยู่แต่โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ย้ายออกไป เพราะพวกเขายังไม่มีตัวแทนโดยตรงที่พร้อมก้าวขึ้นมาในทีม

2. เพื่อก้าวออกไปจากเงาของเนย์มาร์

เอ็มบัปเป้กล่าวไว้ในงานประกาศรางวัลของลีก เอิง เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาว่า “มันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากๆ สำหรับผม ผมมาถึงจุดเปลี่ยนในอาชีพของผม” “ผมได้ค้นพบสิ่งต่างๆ มากมายที่นี่ และผมรู้สึกว่า อาจเป็นช่วงเวลาที่ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น” “ผมหวังว่า จะได้อยู่ที่ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ซึ่งจะเป็นความยินดีอย่างยิ่ง หรือบางทีก็เป็นที่อื่นกับโปรเจ็กต์ใหม่ๆ” ซึ่งบ่งบอกเป็นนัยๆ ว่า เขากำลังหมดความอดทนในการเล่นเป็นแบ็คอัพของเนย์มาร์ ซึ่งสโมสรได้ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาลเมื่อปี 2017

3. โอกาสที่จะพิสูจน์ว่าเขาสามารถทำได้ในลีกที่แตกต่างกัน

เอ็มบัปเป้ไม่มีอะไรเหลือที่จะต้องพิสูจน์ในฝรั่งเศสหลังจากคว้าแชมป์ลีกมาได้ 2 สมัยและบอลถ้วยในประเทศอีก 2 ถ้วยในฤดูกาลแรกกับสโมสร คำวิจารณ์อย่างหนึ่งเกี่ยวกับเมสซี่ที่คว้าบัลลงดอร์ 6 สมัย คือเขาคว้าแชมป์ได้แค่ลีกเดียวจาก 5 ลีกหลักของยุโรป ส่วนคริสเตียโน่ โรนัลโด้ คว้าแชมป์มาได้ 3 ลีกแล้วหลังจากย้ายมาร่วมทีมยูเวนตุส โดยอดีตกองหน้าโมนาโกสามารถสิ้นสุดการรอคอยแบบนั้นตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการค้าแข้งซึ่งอาจจะช่วยให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้

4. สามารถกลายเป็นตำนานของเดอะ ค็อปได้อย่างง่ายดาย

คล็อปป์ เคยเตือนฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ก่อนที่เขาจะย้ายไปบาร์เซโลน่า แฟนๆ ลิเวอร์พูลจะแสดงความรักอย่างล้นเหลือต่อผู้เล่นหากพวกเขาแสดงความภักดีต่อสโมสร คูตินโญ่เลือกที่จะย้ายไปร่วมทีมกับบาร์เซโลนา แต่หลังจากนั้นก็ถูกส่งไปยืมตัวกับบาเยิร์น มิวนิค และคำพูดของผู้จัดการทีมชาวเยอรมนีก็สามารถใช้เป็นสาส์นที่ส่งถึงเอ็มบัปเป้ได้

เขากล่าวว่า “จงอยู่ที่นี่และพวกเขาจะสร้างรูปปั้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นาย” “ไปที่อื่นๆ, บาร์เซโลนา, บาเยิร์น มิวนิค, เรอัล มาดริด นายจะเป็นแค่ผู้เล่นอีกคน ที่นี่นายสามารถเป็นอะไรได้มากกว่านั้น”

5. สามารถดีขึ้นภายใต้การคุมทีมของคล็อปป์

ความสามารถของคล็อปป์ในการงัดเอาสิ่งที่ดีที่สุดของผู้เล่นออกมาของเขานั้นได้รับการยืนยันจากการที่สามารถพาทีมเข้าชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัยติดต่อกันและการนำโด่งเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ ลีก เหนืออันดับ 2 ถึง 25 แต้ม ตลอดไปจนถึงความสามารถในเกมรุกของนักเตะอย่างเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในแนวรับที่ดีที่สุดในโลก ด้านดิว็อค โอริกี้, ซาลาห์ และจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็ได้ค้นพบระดับความสามารถใหม่ๆ ภายใต้การทำทีมของกุนซือเยอรมัน และถ้าเอ็มบัปเป้ ทำได้ดีขึ้นในระดับเดียวกัน เขาก็จะเดินทางเข้าสู่การคว้าบัลลงดอร์เป็นสมัยแรก

6. มีโอกาสมากที่จะคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

หลังจากคว้าแชมป์ลีกและแชมป์บอลถ้วยในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในฝรั่งเศสและฟุตบอลโลกกับทีมชาติในปี 2018 ก็เหลือแค่แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ยังว่างอยู่ในตู้โชว์ แม้ว่าลิเวอร์พูลจะตกรอบรายการนี้ไปแล้วในปีนี้ แต่การคว้าแชมป์มาครองถึง 6 สมัยก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในทวีปนี้ ในทางกลับกัน เปแอสเช ยังไม่เคยผ่านรอบก่อนรองชนะเลิศด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม หลังคัมแบ็คกลับมาเอาชนะโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ก็ทำให้เอ็มบัปเป้ มีโอกาสที่จะย้ายออกจากทีมหลังจากที่พวกเขาประสบความสำเร็จในเวทีที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปได้เหมือนกัน